ทฤษฏี Elliott Wave สร้างขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ซึ่งเขาได้พัฒนามาจาก Down Theory โดยเนื้อหาบทสรุปของทฤษฎีนี้คือ Pattern ของราคาหุ้นมันจะมีพฤติกรรมเป็นลักษณะลูกคลื่น ซึ่งสามารถแจงรายละเอียดในหลักการได้ดังนี้
| ถ้ามีแรงกระทำย่อมมีแรงโต้ตอบ ซึ่งอนุมานในการเล่นหุ้นคือ เมื่อหุ้นมีขึ้น มันก็ต้องมีลง และเมื่อมันลงถึงจุดนิ่งแล้ว มันก็พร้อมที่จะขึ้นในรอบต่อไป ซึ่งภาษานักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายเขาเรียกว่าหุ้นรีบาวน์ ( rebound ) และหุ้นปรับฐาน ( retrace ) |
| Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction |
| ในหนึ่งรอบหรือ cycles ของ Elliott Wave นั้นจะเป็น series ของ impulse และ correction |
.....จากนิยามข้างต้นสามารถแสดงด้วยกราฟดังข้างล่าง และแนะนำว่าคุณต้องจำ pattern นี้เอาไว้ให้แม่นยำ wave 1,2,3,4,5,a,b,c
จากกราฟจะเห็นว่าจุดสูงสุดของรอบจะอยู่ที่คลื่นลูกที่ 5 ส่วนจุดเริ่มต้นคือคลื่นลูกที่ 1 ในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น การขึ้นยังไม่แรงเท่าที่ควร เพราะนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นต่างคอยดูเชิงซึ่งกันและกัน ราคาหุ้นก็จะไต่ขึ้นมาที่คลื่นลูกที่ 1 หลังจากนั้น ก็จะมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่คอยจังหวะขายหุ้นโดยที่หวังกำไรไม่มากนัก หรือ อย่างน้อยก็ขาดทุนไม่มาก ทำให้หุ้นปรับฐาน( retrace ) ลงมาเล็กน้อยที่คลื่นลูกที่ 2
หลังจากราคาหุ้นได้ปรับฐานมาที่คลื่นลูกที่ 2 แล้ว ในช่วงนี้เอง volume การซื้อขายเริ่มมากขึ้น ทำให้นักเล่นหุ้นอื่นๆมองเห็นแนวโน้มทิศทางของหุ้นตัวนี้ จึงเริ่มเข้าซื้อหุ้นด้วย volume ที่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว ( rebound ) สูงขึ้นมาก โดยทฤษฏีแล้ว คลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นลูกที่สูงที่สุด
ราคาหุ้นปรับตัวมาที่คลื่นลูกที่ 3 ทำให้นักเล่นหุ้นมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็เริ่ม retrace มาที่คลื่นลูกที่ 4 การปรับฐานของราคาหุ้นมาที่คลื่นลูกที่ 4 นี้ ดูเหมือนว่ามันน่าจะหยุดขึ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ยังมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่ตกขบวนรถไฟ และยังมีความเชื่อว่าหุ้นตัวนี้สามารถวิ่งต่อได้ จึงเข้าไล่ซื้ออีกรอบหนึ่ง ทำให้หุ้นสามารถวิ่งต่อไปได้จนถึงคลื่นลูกที่ 5 แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คลื่นลูกที่ 5 จะมีขนาดสั้นกว่าลูกที่ 3 เนื่องจากความกล้าๆกลัวๆของนักเล่นหุ้นทำให้ตัดขาย หรือทำกำไรเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
.เมื่อราคาหุ้นปรับตัวมาที่จุดสูงสุดคือคลื่นลูกที่ 5 แล้ว และมีการขายทำกำไรกันออกมา ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงมาที่คลื่น a, การขายรอบนี้นักเล่นหุ้นจะประสานเสียงหรือร่วมมือร่วมใจกันขายหุ้นออกมาปริมาณมาก หรือบางครั้งเกิด panic เล็กๆ เมื่อหุ้นปรับฐานมาที่คลื่น a นักเล่นหุ้นบางคนจะมองว่าราคาหุ้นมันถูกลงจึงเข้าซื้อทำให้ราคาหุ้น rebound เล็กน้อยไปที่คลื่นลูกที่ b แต่การขึ้นครั้งนี้มันขึ้นไม่แรง เพราะมันยังไม่สามารถเอาชนะใจคนอื่นๆได้ พอขึ้นไม่แรงก็ขายดีกว่า ทำให้มีการขายหุ้นกันออกมาทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงที่คลื่น c
หลังจากจบคลื่น c แล้วก็ถือว่ามันครบรอบหรือ cycle ของหุ้นอย่างสมบูรณ์ ผมขอทวนนะครับ คลื่น Elliott Wave ประกอบด้วยหุ้นขาขึ้น ( impulse) คลื่นลูกที่ 1,2,3,4,5 ส่วนหุ้นขาลง ( correction ) มีคลื่นลูก a,b,c
การเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นโดยอาศัยหลัก Elliott Wave จะทำให้เรารู้สถานะและแนวโน้มของมัน ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นในการ trade
จากที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียง Basic Concept เท่านั้น แต่มันยังมีความซับซ้อนมากกว่านี้ โดยที่หุ้นขาขึ้นลูกที่ 1,2,3,4,5 สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 1 และหุ้นขาลง a,b,c สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ได้ เช่นกราฟด้านล่าง
การที่หุ้นมัน rebound หรือ retrace นั้น ถามว่ามันจะขึ้นไปถึงไหน และ มันจะลงมาถึงไหน ตรงจุดนี้ก็มีทฤษฎีที่อธิบายได้เช่นกันนั่นคือ Fibonacci Numbers ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สามารถเขียนเป็นหนังสือหรือคู่มือเป็นเล่มหนาประมาณ 1 นิ้วได้ ซึ่งผมไม่สามารถนำมาอธิบายในที่นี้ได้ แต่ก็ขอนำเอาผลของมันมาใช้เลยดีกว่าครับ
Fibonacci Numbers เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับธรรมชาติ เป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว ตัวเลขที่เราสามารถนำมาใช้ได้เลยมีดังนี้
แบบทศนิยม
| แบบเปอร์เซ็นต์ |
0.236 | 23.60 % |
0.382 | 38.20 % |
0.500 | 50.00 % |
0.618 | 61.80 % |
0.764 | 76.40 % |
1.000 | 100.00 % |
1.382 | 138.20 % |
1.618 | 161.80 % |
2.618 | 261.80 % |
4.236 | 423.60 % |
...... |
|
.
|
หลายคนคงพอจะคุ้นกับตัวเลขพวกนี้บ้างนะครับ อย่างน้อยนักวิเคราะห์หุ้นหลายสังกัดก็นิยม หรือพูดถึงกันมากเช่น หุ้นกำลังปรับฐานลงมาในระดับ 38.20% ซึ่งก็คือแนวรับที่นักวิเคราะห์จะทำนายได้ว่าราคาหุ้นมันมีแนวรับที่ระดับราคาเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงนักวิเคราะห์ก็ไม่ใช่หมอดู หรือนักคำนวนที่เก่งกาจเท่าไหร่ (ต้องขอโทษที่กล่าวเช่นนี้ ) เพราะเราสามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นมาใช้หาจุดแนวรับ แนวต้านโดยใช้ tool ได้มากมาย รวมทั้ง Fibonacci Numbers ที่กล่าวไว้เช่นกัน โปรแกรมที่นิยมสุดๆก็คือ Meta Stock ซึ่งปัจจุบันล่าสุดได้พัฒนาไปถึง Version 8.00 แล้ว ราคาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท แต่คิดว่ามันมีประโยชน์ก็เลยแนะนำกัน
|
เราลองมาดูตัวอย่าง Fibonacci Numbers ที่ใช้ใน Meta Stock กันดูบ้าง
จากกราฟราคาหุ้นข้างต้น เป็นตัวอย่างจริงของหุ้น BBL เมื่อราคาหุ้นมันขึ้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 2 และมันก็ปรับฐาน retrace ลงมา ทีนี้หากเราไม่มีวิชาติดตัวถามว่าราคาหุ้นมันควรจะลงมาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะคาดคะเนได้ แต่หากเรามีวิชาติดตัว คุณคงบอกได้นะครับว่าแนวรับมันควรจะอยู่ที่ไหน
ถ้าเราใช้ Meta Stock เราก็จะได้แนวรับหลายระดับได้แก่ แนวรับที่ 23.6% , 38.2%, 50.0%, 61.80% ในที่นี้แนวรับมันหยุดที่ 50% ที่ราคาใกล้ๆ 48 และหลังจากนั้นมันก็ rebound ขึ้นต่อไป โดยที่ตัวเลขแนวรับที่เกิดขึ้น Meta Stock จัดการให้ทั้งหมด
.แน่นอนครับเราคงไม่ได้ใช้เจ้า Fibonacci Numbers เพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์หุ้น ถ้าจะให้ดีเราควรนำเอา indicators ตัวอื่นๆมาวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน ซึ่ง indicators พวกนี้ศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับ technicalanalysis ได้หลายเล่มในท้องตลาด
ตัวอย่างข้างล่างเป็นการนำเอา indicator เช่น MACD ( Oscillator ) มาประกอบในการวิเคราะห์ เพื่อหาว่าคลื่นของ ELLIOTT มันวิ่งไปถึงคลื่นลูกที่ 5 หรือยัง ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่าเส้นสีแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุด 3 และ 5 มีทิศทางขึ้น ในขณะที่เส้นแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุดยอดของ MACD มีทิศทางลง ลักษณะนี้เรียกว่าเกิด divergence คือมันมีทิศทางสวนทางกัน เช่นนี้ก็จะสามารถ forecast ได้ว่ากราฟหุ้นได้มาถึงจุดสูงสุดคลื่นลูกที่ 5 แล้ว
|
|
ช่วงขาขึ้นประกอบด้วยคลื่น 1,2,3,4,5 สังเกตว่าคลื่นลูกที่ 2,4 เป็นคลื่นช่วงปรับฐานย่อย ส่วนคลื่น 1,3,5 เป็นคลื่น rebound แต่ถ้ามองเป็น Channel แล้ว ภาพรวมมันเป็น Uptrend
|
|
|
|
|
|
ลักษณะของคลื่นลูกที่ 2 จะปรับฐานโดยจะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ คลื่นลูกที่ 1
การปรับฐานคลื่นลูกที่ 2 นั้นเกิดจากขายเพื่อหนีต้นทุน เนื่องจากก่อนการเกิดคลื่นลูกที่ 1 มันผ่าน downtrend มาก่อน ทำให้พอหุ้นมีการ rebound ขึ้นมาที่ลูกคลื่นที่ 1 ได้ นักเล่นหุ้นบางกลุ่มก็ยอมขายขาดทุนออกมา ทำให้ราคาหุ้นตก และปรับฐานเป็นคลื่นลูกที่ 2
|
|
|
การ form ตัวคลื่นลูกที่ 3 นั้นจะสังเกตุได้จากยอดของคลื่นลูกที่ 1จะเป็นแนวต้านที่สำคัญ หากมันไม่สามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปได้ นั่นแสดงว่าคลื่นลูกที่ 3 นั้นมันมีปัญหา หรือผิดพลาด แต่ถ้าลูกคลื่น สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ ไปได้แสดงว่าการ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 3 น่าจะสมบูรณ์
|
|
|
ส่วนมากแล้วคลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นที่แรงที่สุด ดังนั้นหากราคาหุ้นมันทะลุยอดของคลื่นลูกที่ 1 พร้อมทั้งเกิด Gap กระโดดอยู่เหนือยอดคลื่นลูกที่ 1 ได้ ย่อมแสดงถึงทิศทางของหุ้นกำลังเข้าสู่ Bullish state อย่างคึกคัก
|
|
|
สาเหตุที่คลื่นลูกที่ 3 เป็นคลื่นลูกที่ร้อนแรงที่สุดนั้น ก็เพราะว่านักเล่นหุ้นต่างก็มองเห็นทิศทาง ของมันอีกทั้งยังเกิด gap ของราคาหุ้นด้วย ทำให้นักเล่นหุ้นที่พลาดโอกาสซื้อ ณ จุดต่ำสุดนั้น ต้องรีบกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกขบวน
|
|
|
เมื่อคลื่นลูกที่ 3 ได้ไต่ระดับขึ้นมามากแล้ว นักเล่นหุ้นกลุ่มแรกที่ซื้อหุ้นไว้ ณ ระดับราคาช่วงต่ำสุด ก็เริ่มทะยอยขายทำกำไรออกมา ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับฐานเกิดคลื่อนลูกที่ 4
ส่วนนักเล่นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อหุ้น ณ ระดับราคาต่ำสุดยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาก อีกทั้งยังมีการซื้อเฉลี่ยต้นทุนด้วย และเชื่อว่าโอกาสที่หุ้นจะขึ้นยังมีอยู่ จึงเข้าซื้อ ทำให้ราคา rebound ขึ้นไปเป็นคลื่นลูกที่ 5 แต่การ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 5 จะไม่คึกคักเท่ากับคลื่นลูกที่ 3 แล้วจุด peak ของ uptrend ก็มาหยุด ณ คลื่นที่ 5
|
|
|
|
|
|
|
ช่วงขาลง downtrend เป็นช่วงที่คาดคะเนได้ยากพอสมควร นักเล่นหุ้นบางคนสามารถทำกำไรจาก price gainging ได้ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ก็ต้องขาดทุนในช่วงหุ้นขาลง เพราะการพยากรณ์ หรือ คาดคะเนหุ้นขาลงมันจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าช่วงขาขึ้น
หุ้นขาลงประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ซึ่งการปรับทิศทางลง แบ่งเป็น
Simple Correction
Complex Correction
Simple Correction หรือเรียกว่า zig-zag ก็ได้ โดยการปรับทิศทางลงของหุ้นประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ทั้งนี้คลื่นลูก B จะ retrace ไม่เกิน 75% ของคลื่น A.และคลื่น C จะมีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับคลื่น A
|
WAVE-B ปกติจะมีขนาดของคลื่นเป็น 50% ของคลื่น A และไม่ควรเกิน 75% ของคลื่น A
WAVE-C เป็นไปได้ตามกรณี = 1.00 เท่าของ คลื่น A. = 1.62 เท่าของ คลื่น A. = 2.62 เท่าของ คลื่น A.
|
|
นี่คือรูปแบบตัวอย่างของ ZIG-ZAG Correction
|
Complex Correction มีด้วยกัน 3 รูปแบบ
Flat Correction
ลักษณะนี้จะมีรูปแบบเหมือน sideway ออกไปด้านข้าง โดยคลื่นลูก A,B,C จะอยู่ในแนวราบออกด้านข้าง
Irregular
| |
รูปแบบนี้คลื่น B จะ retrace เกินขนาดของคลื่น A
|
| | |
| | |
Triangle Correction :
|
รูปแบบของ Triangle Corrections จะformตัวขึ้นเป็นรูป 3 เหลี่ยม โดยลากเส้นเชื่อมแนวต้าน และลากเส้นเชื่อมแนวรับ เส้นทั้งสองจะ form ตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ภายในมีคลื่น a,b,c,d,e
ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง uptrend มันก็จะทะลุผ่านแนวต้านสามเหลี่ยมและก็วิ่งขึ้นต่อไป
|
| |
|
ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง down trend มันก็จะทะลุผ่านแนวรับสามเหลี่ยมและก็ล่วงลง
|
| |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น